การเสริมสะโพก เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมที่ช่วยเสริมขนาดของสะโพกให้โตขึ้น ทำให้สะโพกมีความสวยงาม ช่วยเสริมให้รูปร่างดูดี เลือกสวมเสื้อผ้าได้หลากหลาย สร้างความมั่นใจมากขึ้น ในปัจจุบันการทำศัลยกรรมเสริมขนาดสะโพกด้วยซิลิโคนเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าการศัลยกรรมมีความปลอดภัยมากขึ้น การเสริมขนาดสะโพกในสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่มักจะไปใช้วิธีการฉีดซิลิโคนเหลว ซึ่งเกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาเพราะเป็นสารแปลกปลอม เกิดเป็นก้อนพังผืด สะโพกบิดเบี้ยว ผิดรูป ซิลิโคนมีการไหลไปยังส่วนต่าง ๆ หรือย้อยลงเหมือนคนมีอายุ เนื่องจากซิลิโคนเหลวจะคงสภาพอยู่ได้ไม่นาน การผ่าตัดรักษาก็เป็นไปได้ยากที่จะแก้ไข และทำให้สะโพกนั้นกลับมาสวยเหมือนเดิม การเสริมสะโพกรีวิวสามารถดูได้จากคลินิกที่เสริมสะโพก เพราะทางคลินิกเขาจะมีรีวิวให้คนไข้ดูว่าต้องการเสริมสะโพกแบบไหนให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
การเสริมสะโพกเหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการมีสะโพก หรือก้นที่ใหญ่ขึ้น ไม่ต้องการใส่กางเกงเสริมก้น ชอบโชว์สะโพก
- หุ่นไม่มี Curves ดูตรง ทื่อ
- ลดน้ำหนักมากและเร็วเกินไป ผิวไม่กระชับ
- ก้นหย่อน ยาน ตามวัย
- สาวประเภทสองที่ต้องการ เปลี่ยนลุคเป็นผู้หญิง ต้องการสะโพก
- ก้นเล็ก แฟ่บ ทำให้ใส่ชุดรัดรูปดูไม่มั่นใจ
การผ่าตัดเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน
เป็นการใช้ซิลิโคนสำหรับบริเวณสะโพกโดยเฉพาะ ด้วยการวางซิลิโคนไประหว่างชั้นกล้ามเนื้อก้น (Gluteus maximus muscle) จะทำให้ก้นและสะโพกใหญ่ ได้ทรงสวยขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณนี้ ต่างจากการวางซิลิโคนหน้าอกตรงที่มีกระดูกล้อมรอบสามด้าน ทำให้มีข้อจำกัดด้านขนาดซิลิโคนที่จะใส่ได้ ขนาดที่นิยม และเหมาะสมกับสรีระของคนไทย ส่วนใหญ่จะประมาณ 300 – 360 cc ในกรณีที่เสริมมากกว่านี้ มักต้องวางซิลิโคนเหนือชั้นกล้ามเนื้อซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียในระยะยาว อย่างเช่นเนื้อซิลิโคนลอยแยกออกจากเนื้อก้น ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
รูปทรงของซิลิโคน
ทรงกลม จะมีรูปร่างกลมและแบนเหมาะสำหรับเสริมบริเวณสะโพกด้านใน หรือ บริเวณก้น
ทรงหยดน้ำหรือทรงรี ตัวซิลิโคนจะมีรูปทรงวงรีเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมด้านข้างของสะโพกโดยมีข้อดีคือ มีเมื่อเสริมแล้วจะได้ธรรมชาติ
เตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
- งดยาแอสไพริน บุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กระเทียม หัวหอม น้ำมันปลา วิตามินอี และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองก่อนผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะอาหารพวกนี้มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เลือดออกมากระหว่างผ่าตัดได้
- งดน้ำและอาหาร 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- ถ้ามีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
- เตรียมลางาน 10-15 วัน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ไม่ควรผ่าตัด
- ถ้ามีบาดแผลบริเวณแขน ข้อศอก หัวเข่า หน้าอก หรือหน้าท้องควรงดผ่าตัดไปก่อน
- การผ่าตัดเสริมสะโพกไม่ควรทำร่วมกับการผ่าตัดอื่น ๆ บริเวณส่วนหน้าของร่างกาย เช่น การตัดไขมันหน้าท้องหรือการเสริมหน้าอก เพราะจะมีปัญหาในการดูแลหลังผ่าตัด ยกเว้นการดูดไขมันเล็กน้อยอาจทำร่วมกันได้
การผ่าตัดศัลยกรรมสะโพก มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
- ดมยาสลบ และ ฉีดยาชาที่หลังเพื่อลดการเจ็บหลังผ่าตัด
- ผ่าตัดในท่านอนคว่ำ
- แผลผ่าตัดจะอยู่บริเวณร่องก้น มีแผลเดียว ประมาณ 4 -6 เซนติเมตร เพื่อซ่อนแผลให้เห็นน้อยที่สุด
- วิธีเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน จำเป็นต้องวางในกล้ามเนื้อทุกเคส เพราะหากใส่เหนือกล้ามเนื้อจะเห็นเป็นขอบ เป็นก้อนซิลิโคนแยกออกมาไม่เป็นธรรมชาติ และซิลิโคนจะขยับ ผิดตำแหน่งได้ง่าย เวลานั่งทับเป็นเวลานาน
- จะมีสายระบายเลือด ทิ้งไว้ 2 วัน ก่อนเอาออก และกลับบ้านได้
- เย็บด้วยไหมละลาย ไม่ต้องตัดไหม
ระยะเวลาในการผ่าตัดเสริมสะโพก
ใช้ระยะเวลาในการผ่าตัด ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ภายใต้การดมยาสลบ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดได้หลังการ เสริมสะโพก
- แผลเป็น
- เลือดออก
- บวม เขียวช้ำ
- ปวด
- ภาวะติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด หรือติดเชื้อรอบซิลิโคนเสริมสะโพก
- สะโพกซ้ายขวา อาจจะไม่เท่ากันได้
- ภาวะพังผืดและต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขได้
- ซิลิโคนเหลว แตกรั่วออกจากถุงซิลิโคน
- แผลหายช้า
- แผลแตก แผลแยก
- ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ
การดูแลหลังผ่าตัดศัลยกรรมสะโพก
- นอนพักที่โรงพยาบาล หลังผ่าตัด 2 คืน เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อ และเอาสายระบายเลือดออก ก่อนกลับบ้าน
- ห้ามนอนหงาย หรือนั่งทับแผล 10 -14 วัน หลังผ่าตัด
- สามารถนอนตะแคง หรือเดินได้ ตั้งแต่หลังผ่าตัดวันแรก
- สามารถนั่งโถปัสสาวะ ขับถ่าย ได้ตามปกติ ตั้งแต่หลังผ่าตัด
- แผลไม่ต้องทำความสะอาด เพราะแผลจะปิดด้วยกาวใส่แผลที่กันน้ำอยู่แล้ว สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ
- แผลไม่ต้องตัดไหม เย็บด้วยไหมละลาย และทากาวสำหรับติดแผล (dermabond)
- รับประทานอาหารที่สุกสะอาดได้ทุกอย่าง
- ไม่ต้องนวดซิลิโคน เนื่องจากโอกาสเกิดพังผืดน้อยมาก